ไม่รู้มีใครบ้างที่เคยเล่นอยู่ หรือ
สมัยนั้นหลังจากยุค Racing ล่มสลาย( เพราะลานสเก๊ต,เธค และรถซิ่งหน้า Palace เริ่มเข้ามาจูงพวกเราออกไปหามัน ) หรือ ยังหวนกลับมาอีกครั้งหลังจากเลิกไป2-3ปีกลับมาเล่นใหม่ในช่วงนั้น
ยุคที่บ้านเราต้องทำ Peg กันเอง หรือ เชื่อม Fork Peg ติดกับตะเกียบโดยตัดจากหลักอาน อย่างของผมสมัยนั้น ตัดจากหลักอาน Kuwahara LaserLite เลย
จะเล่าประวัติความเป็นมาในยุคเริ่มต้นของการขี่แบบ Freestyle ในบ้านเรา ให้อ่านกันก่อนแล้วกันตอนนั้นขนาด
เบรค MX900 หรือ MX1000 ก็เอามาเจาะหมุดเพื่อสลับจากร้อยรูทางด้านบนไปเป็นด้านล่างเพื่อที่จะให้เบรคที่ร้อยผ่านตะเกียบลงไปใส่แล้วใช้งานได้ สมัยเริ่มใหม่ๆบางคนก็
เจาะรูทางด้านข้างคอ เช่นคอ Nitto จะเอามาเจาะกันค่อนข้างมากในสมัยนั้น เพราะยังไม่มีน๊อตร้อยลูกหมากแบบที่รูตรงกลางเข้ามาขาย ต้อง
ไปเอามาจากน๊อตร้อยไดชาร์ท แล้วเอาลูกหมากที่เป็นอลูมิเนียมไปเจาะขยายแล้วต๊าปเกลียวใหม่เพื่อให้ใส่กันได้ ตอนหลังรู้สึกว่าโดดเนินบ่อยๆ ตอนนั้นใช้คอ Nitto ซึ่งคอกับแกนหลุดออกจากกันก็เลยเปลี่ยนใหม่เป็น Sugino รุ่นหัวกบสีทอง แต่ดันลูกหมากเป็นคนละทรงกันจึงต้องทำกันใหม่แบบช่างลูกทุ่งโดยหลังจากเจาะรูต๊าปเกลียวเสร็จ ก็
เอาไฟเผาจนแดงแล้วโยนไปในบ่อน้ำมันเครื่องใช้แล้ว เป็นอันว่ากรรมวิธีการชุบแข็งแบบวันรุ่นของผมเป็นอันเรียบร้อย โรเตอร์ก็ทำกันเองโดย
ใช้ลูกปืน Bearing เก่าๆมาเชื่อมน๊อตร้อยสายเบรค หรืออย่างของผมที่
เอาตะเกียบมาทำผสมกับชุดคอ ทำใช้ได้ซักพักทาง Skyway ก็ออกมาเป็นรุ่น Spin Master หลักกการทำงานเหมือนกันเด๊ะเลย
ปล. ยุคแรกๆของ
Freestyle ในบ้านเราสมบุกสมบันมากครับ แต่ก็จำเป็นต้องเล่นเพราะเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามาหลังจากที่ต้องเล่นท่าพื้นฐาน(Basic) เช่นยกล้อ, Rock and Roll, Hook 360 และท่า Balance(ทรงตัว)ต่างๆ จนหมดแล้ว
ในยุคที่
Freestyle เริ่มเข้ามาช่วงนั้นบ้านเราก็ยังใช้รถ Racing กันอยู่ เช่น PK. Ripper, Ripper, Quadangle, Kuwahara, Redline และผมตอนนั้นก็ใช้ Diamond Back Cr-mo ร่วมเจริญ ในกลุ่มเพื่อนมีใช้กันทุกยี่ห้อครับ (แถมที่บอกมา
ตะเกียบทุกคันก็ผ้นการเชื่อมPeg เข้าไปทุกคันไม่เว้นแม้แต่ Landing Gear) ตอนนั้นก็ยังต้องนัดรวมกลุ่มกันมาโดดเนินกันที่หลังสระว่ายน้ำหัวหมากกันเป็นประจำ จนกระแส
Freestyle เข้ามาแรงมากพร้อมกันกับหนังสือ BMXค่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น BMX Action และ BMX Plus ซึ่งสมัยนั้นถ้าไม่มีเงินซื้อก็ต้องนั่งรถเมล์หรือปั่นจักรยานไปยืนอ่านดูกันที่เซ็นทรัลชิดลมหรือเซ็นทรัลลาดพร้าว หรือที่จะหาหนังสือประเภทนี้ได้อีกที่ก็คือ
สนามหลวง ในแบบของหนังสือที่ขายไม่ออกจากห้างต่างๆ แต่ปกจะต้องถูกตัดหัวออกในราคารู้สึกว่าไม่เกิน50บาทถ้าจำไม่ผิด (แต่ระหว่างที่ยืนเลือกหนังสืออยู่ก็จะมี พวกมาถามว่าเอา "โป๊มั๊ยพี่" เป็นการถามขายเพื่อขายหนังสือแนว Rate-X ให้) แต่ทุกวันนี้ผมไปลองหาที่สวน
จตุจักรนั้นกลับไม่มีหนังสือBMXประเภทนี้ขายเลย จะมีก็แต่คำๆเดิมคือ "โป๊ม๊ยพี่" ที่เป็นอมตะวาจาของแผงค้าหนังสือเก่านั่นเอง