ชอบจังคำว่า "วิชาเกิน" เหมือนหลานสาวผมเขาบอกว่า "หนูเป็นสถาปนึกค่ะ..."
ขอปรับแก้เกี่ยวกับเรื่องความยาวขาจานนิดนะครับ...คงไม่ว่ากันนะ
...ถือว่าแบ่งปันข้อมูลที่มีที่มาที่ไปกัน
...คือถ้าเรามามองในแง่ของวิทยาศาสตร์...ขาจานยาวกว่าคงจะไม่ได้ออกแรงกดน้อยกว่าขาจานสั้นกว่าหรอกครับ...แต่เนื่องจากขาจานที่ยาวกว่าให้โมเมนท์ที่มากกว่า=>
จากสูตรที่ว่าจึงทำให้พิสูจน์ได้ว่า ทอร์ค(ที่ทำให้เกิดอัตราเร่งเชิงมุม)ที่มากขึ้นนั้นมาจากตัวแปร 2 ตัว คือ 1. แรงกด 2. ความยาวขาจาน
แต่ในกรณีที่ใช้ Base on เดียวกัน คือนักแข่งคนเดียวกันที่มีพลังขา(แรงกด)เหลือเฟือขี่รถที่มีอัตราทดเท่าเดิม...แต่เปลี่ยนขาจานอย่างเดียว...ไอ้แรงกดที่เท่ากันนี้แหละ(ไม่ว่าจะกดไปที่จานที่มีความยาวเท่าไรก็ตาม) คือตัว
แรง ที่อยู่ในสูตรข้างบน ทำให้เกิดโมเมนท์ไปต่อสู้เอาชนะความฝืดที่ส่งผ่านจากล้อที่อยู่บนพื้น ผ่านฟรี,โซ่นั้นได้...
เพราะฉะนั้นสิ่งที่นักแข่งอาจจะต้องทำคือ...ออกแรงให้มากเพื่อเอาชนะความฝืดจากล้อที่เพิ่งเริ่มหมุนหรือเพิ่มอัตราเร่งจากเดิมนั่นเอง
สำหรับการปั่นจักรยานในแบบ BMX ที่เวลาปั่นแข่งแทบจะไม่ได้นั่งเลย...
ผมเลยไม่ได้มองไปที่เรื่องของความยาวขาของคนปั่นจะสัมพันธ์กับความยาวของขาจานซักเท่าไร...แต่ผมว่าพละกำลังขาของคนปั่นหรือนักแข่งนั้นสำคัญที่สุด
(แต่ถ้าเป็นในกรณีของรถที่นั่งปั่นบ่อยๆถึงตลอดเวลาเช่นพวกรถ RB หรือ MTB ที่ปั่นกันนานๆ...ความสบายในการปั่นทางยาวๆ...ที่ไม่ทำให้คนปั่นเมื่อยล้าอย่างรวดเร็วจึงสำคัญที่สุด...จึงทำให้ระยะ Inseem หรือความยาวของขามีผลต่อความยาวขาของคนปั่น และ ความสูงของเบาะ...เมื่อยืดขามาปั่นจนสุดบันไดจะได้ไม่เมื่อยนั่นเอง...)
เพราะอย่างนี้ไงครับ...จึงต้องมีการจัดอัตราทดให้เบาให้หนัก...ตามที่เจ้าของกระทู้ตั้งชื่อมานั่นไง...พูดง่ายๆว่าเป็นวิธีการการเอาเปรียบเชิงกลนั่นเอง...แต่จะทำยังไงให้เหมาะสม...ตรงนี้คงเป็นเรื่องของ MMI แล้วละครับ
ปล. แต่ขอชมวิธีการให้ข้อมูลนะครับที่...แสดงให้เห็นอัตราทด หรือ Ratio ที่ต่างกัน ของเฟืองหน้า และ เฟืองหลัง ผมเคยทำตารางไว้ เทียบตั้งแต่ จานหน้า ขนาด 25-40ปลายๆ และ เฟืองหลัง ตั่งแต่ 9-18 ใครอยากดูหลังไมค์ได้นะครับ
ถ้าดูจากตาราง...จะเห็นได้จากรถสมัยก่อนรถที่ออกมาจากร้านจะมี Ratio = 44/16 =2.75 แต่ รถ Street รุ่นใหม่ๆทุกวันนี้ออกจากโรงงานมาจะใช้ 25/9 มองอย่างนี้เห็นจานเล็กๆแล้วอย่าคิดว่า...จะปั่นแล้วเบากว่านะครับ...เทียบ Ratio กันแล้วออกมาได้= 2.78 หนักกว่ากันติ๊ดนึงด้วยซ้ำครับ
เอางี้แล้วกัน...
...จานหน้า 44 ฟรีหลัง 16 ...44/16= 2.75 หมายความว่าเราปั่นจานหน้า 1 รอบ ฟรีหลังจะหมูนไป 2.75 รอบ
...จานหน้า 43 ฟรีหลัง 16 ...43/16= 2.68 หมายความว่าเราปั่นจานหน้า 1 รอบ ฟรีหลังจะหมูนไป 2.68 รอบ
...จานหน้า 42 ฟรีหลัง 16 ...42/16= 2.625 หมายความว่าเราปั่นจานหน้า 1 รอบ ฟรีหลังจะหมูนไป 2.625 รอบ
...จานหน้า 43 ฟรีหลัง 17 ...44/16= 2.53 หมายความว่าเราปั่นจานหน้า 1 รอบ ฟรีหลังจะหมูนไป 2.53 รอบ
....นั้นหมายความว่า 44/16 หมุนขา 1 รอบจะได้ระยะทางไกลที่สุดในขณะเดียวกันก็ต้องออกแรงกดมากที่สุด....ส่วน 43/17 หมูนขา 1 รอบ จะได้ระยะทางสั้นที่สุดแต่จะออกแรงกดน้อยที่สุด...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะออกแรงกดมาก หรือออกแรงกดน้อย ความยาวของขาปั่นจะมีส่วนสัมพันธ์และมีส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
ขาจานที่ยาว 180 จะออกแรงกดน้อยกว่าขาจานที่ยาว 165 แต่ขาจานยาวก็จะมีรอบวงปั่นที่กว้างกว่าขาจานสั้น การสปรินหรือการออกตัว...ขาจานที่ยาวก็จะเสียเปรียบขาจานสั้นที่ได้รอบขาจัดกว่า.....
....และยังมีอีกน่ะคนตัวเตี้ยสูง 165 ช่วงขาสั้นก็ไม่ควรใช้ขาปั่นยาวเกินไป คนตัวสูงช่วงขายาวก็ไม่ควรใช้ขาปั่นที่สั้น จากข้อมูลที่ได้รับมา (รถ MTB) ส่วนสูง 170 ใช้ขาปั่น 170-175 จะเหมาะสมที่สุด (170 ใช้สำหรับทางวิบากในแทรค, 175 ใช้ปั่นทางเรียบ) คนสูงต่ำกว่า 170 ก็ลดลงมา คนสูงกว่า 170 ก็เพิ่มขึ้นไป .....
.....อ่านมาถึงตรงนี้คงอาจจะยังงงๆ...เอาเป็นว่าต้องลองดูด้วยตัวเองครับ..ทั้งนี้ทั้งนั้นการเซ็ทรถต้องเหมาะกับตัวเองและสไตลส์การปั่นของผู้ปั่นเป็นสำคัญ วิชาการ
วิชาเกิน ทั้งหลายเป็นเพียงแนวทางให้ปฏิบัติเท่านั้น อย่าไปยึดติด ยึดมั่น อะไรมากมาย การเซ็ทรถที่ดีจะทำให้เราขี่สนุก เราจะเพลิดเพลินกับการปั่นจนแทบไม่อยากจะเลิก....เฟรม..องศา..ขนาดท่อ...สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการปั่นทั้งหมด..ขนาดของเฟรมที่ต่างกันเพียงครึ่งเซนติเมตรอย่านึกว่าไม่มีผลค่อการปั่นน่ะครับ....ถ้าปั่นแค่ห้านาทีสิบนาทีก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร... แต่ถ้าต้องมาปั่นเป็นชั่วโมงๆเมื่อไรล่ะก็..จะรู้สึกเมื่อนั้นครับ...หลายๆคนที่บอกขี่จักรยานไม่สนุก...เจ็บนู้น..ปวดนี้...นั้นเพราะเขายังไม่ใส่ใจกับการเลือกเฟรม หรือเซ็ทรถให้เข้ากับตัวเขาต่างหาก....